วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

บทความกาเนติ

คู่มือการใช้กาเนติ

ทำไมต้องล้างโพรงจมูก
ในสมัยโบราณ โยคีผู้สนใจฝึกอย่างจริงจัง พยายามเรียนรู้ ความรู้สึกลึกๆภายใน และพบว่า การใช้น้ำทำความสะอาดโพรงจมูก สร้างความรู้สึกสดชื่นได้เป็นอย่างดี ทั้งการใช้น้ำล้างโพรงจมูก ยังช่วยคลายอาการอุดตัน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการฝึกเทคนิคหายใจอื่นๆด้วย

ณ ปัจจุบัน เป็นที่รับรู้กันดีว่า จมูกเป็นอวัยวะสำคัญยิ่ง จมูกเป็นอวัยวะของระบบหายใจ โดยทำหน้าที่ดักสิ่งแปลกปลอมในอากาศ เช่น ฝุ่น ควัน ป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย แม้จมูกมีกลไกทำความสะอาดตนเอง เช่นขับสิ่งสกปรกออกมาเป็นน้ำมูก แต่เนื่องจาก มลภาวะทางอากาศสูง จมูกจึงทำงานค่อนข้างหนัก ดังนั้นการหมั่นทำความสะอาดโพรงจมูกเป็นครั้งคราว เป็นการช่วยให้จมูกทำหน้าที่ได้ตามปกติ

นอกจากการหายใจแล้ว จมูกยังมีปลายประสาท ที่คอยรับข้อมูลต่างๆรอบตัว เช่น กลิ่น อุณหภูมิ ปลายประสาทเหล่านี้ บางทีก็ผิดปกติ เช่นบางคนมีประสาทที่ไวเกิน ทำให้ระคายต่อสิ่งแปลกปลอมภายนอกมากกว่าคนอื่น เช่น อาการแพ้ละอองเกษร การหมั่นทำความสะอาดโพรงจมูก มีแนวโน้มที่จะช่วยให้ปลายประสาทเหล่านี้ ทำงานได้เป็นปกติ

เนติ คือ อะไร
เนติ คือ การชำระล้างประเภทหนึ่ง จากทั้งหมด 6 เทคนิค ที่ระบุอยู่ใน “กริยาโยคะ” (กริยาในที่นี้แปลว่า ชำระล้าง)
เนติ เป็นการชำระล้าง “โพรงจมูก” ที่นิยมกันคือ การใช้น้ำเป็นตัวชำระล้าง เราเรียกว่า “ชลเนติ”
วิธีใช้น้ำล้างโพรงจมูกนี้ ทำได้หลายแบบ เช่น รองน้ำไว้ในอุ้งมือ แล้วสูดเข้าทางจมูก หรือ การใช้ “กาเนติ” ช่วย

เนติ เหมาะกับใคร?
คนที่สนใจโยคะจริงจัง จะค่อยๆเรียนรู้ความรู้สึกของตนเองที่ลึกลงๆ ชลเนติ นำมาซึ่งความรู้สึกระดับลึก ของระบบหายใจ
ผู้ มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ การฝึกทำชลเนติมีแนวโน้มที่จะช่วยบรรเทาอาการลงได้ แต่ทั้งนี้ ต้องทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หรือ ครูโยคะที่มีความชำนาญเท่านั้น คนทั่วไป ที่ใส่ใจสุขภาพของตน คอยทำเนติ เป็นครั้งคราว ในเบื้องต้น อาจจะฝึกทำสม่ำเสมอวันละครั้ง หลังจากนั้น อาจเว้นทำสัปดาห์ละครั้ง หรือบางคนอาจทำเดือนละครั้ง แล้วแต่ความจำเป็น แล้วแต่กรณี

วิธีปฏิบัติ ชลเนติ
ใช้น้ำต้มสุก อุ่น อุณหภูมิอุ่นพอสมควร (ถ้าอุณหภูมิสูงเกินก็ลวกจมูก ถ้าเป็นอุณหภูมิห้อง ก็อาจสร้างความระคายเคืองได้) ผสมเกลือเล็กน้อย พอปะแล่มๆ เกลือจะช่วยลดความระคายเคือง ทั้งช่วยฆ่าเชื้อโรคด้วย (คนที่ทำจนชำนาญ สามารถใช้น้ำสะอาดอุณหภูมิปกติได้เลย)

ทำในที่ที่เหมาะสม เพราะน้ำจะเลอะ เช่น ใช้พื้นสนาม ห้องน้ำ ลานซักล้าง ฯลฯ หรือ ทำโดยหากาละมังรอง

ยืนทำ จัดตำแหน่งของศรีษะให้ถูกต้อง หลักการคือ เราต้องการให้น้ำ จากรูจมูกบน ไหลลงผ่านโพรงจมูก ออกรูจมูกล่าง กล่าวคือ เราจะเงยหน้าเล็กน้อย (หากเงยมากไป น้ำก็ไม่สามารถไหลออกรูจมูกด้านล่างได้)

ระวัง ไม่ก้มศรีษะมากเกิน จนถึงกับทำให้น้ำไหลย้อนเข้าไปในโพรงจมูก สู่ช่องหู ซึ่งเป็นผลเสีย (พึงระลึกว่า โยคะเป็นการทำสิ่งดีๆให้กับตนเอง ไม่ใช่การทำให้เกิดอันตรายต่อตนเอง)

จรดพวยกาที่รูจมูกบน ค่อยๆเทน้ำช้าๆ (อ้าปาก และหายใจทางปาก) ปล่อยให้น้ำไหลลง ผ่านออกทางรูจมูกล่าง เป็นสาย สบายๆ เป็นปกติ

ปริมาณของน้ำขึ้นกับแต่ละคน ตามความเหมาะสม ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป (ไม่จำเป็นต้องเทหมดกาทุกครั้ง) อาจจะทำทางเดียว หรือทำสลับทั้ง 2 ข้างก็ได้ เสร็จแล้ว ให้หายใจออกแรงๆ (เทคนิคกะปาละบาติ) สั่งเอาน้ำที่คั่งค้างในโพรงจมูกออกให้หมด

ข้อควรระวัง
◦ชลเนติ เป็นเทคนิคที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเหมาะกับทุกคน ผู้สนใจ ลองฝึกทำ แล้วสังเกตว่าเหมาะกับตนเองหรือไม่
◦ชลเนติ เป็นเทคนิคที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่า “ต้อง” ทำทุกวัน พิจารณาตามความเหมาะสม ช่วงไหน ที่เราออกนอกบ้านมาก เผชิญมลภาวะทางอากาศมาก ก็อาจทำบ่อยหน่อย ช่วงไหนเราไม่ค่อยต้องสูดมลพิษ ก็ทำห่างหน่อย
◦ชลเนติ เป็นเทคนิคเพิ่มเติม เอื้อให้เราฝึกเทคนิคโยคะหลัก เช่น อาสนะ ปรานยามะ ได้ดีขึ้น กล่าวคือ เราควรฝึกเทคนิคหลักของโยคะทุกวัน แต่สำหรับ ชลเนติ (ตลอดจนเทคนิค กริยา อื่นๆของโยคะ) ไม่ใช่เทคนิคที่ต้องฝึกทำทุกวัน

เรื่องของกาเนติ

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

กระเทียม เยี่ยมยอด

สรรพคุณ

การกินกระเทียมทั้งสดหรือแห้งเป็นประจำสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง และปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันโรคหวัด วัณโรค คอตีบ ปอดบวม ไทฟอยล์ มาลาเรีย คออักเสบและอหิวาตกโรคได้อีกด้วย




วิธีการใช้กระเทียมเพื่อการรักษาโรคต่างๆ

1. ใช้ขับเหงือ ขับปัสสาวะ และขับเสมหะ โดยใช้กระเทียมสดครึ่งกิโลกรัม ทุบพอแตก แช่ในน้ำหวานหรือน้ำผึ้ง 1 ถ้วย ประมาณ 1 สัปดาห์ รับประทานครั้งละครึ่งช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง


2. ใช้ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ โดยใช้กระเทียมสด 5-7 กลีบ บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย กรองเอาแต่น้ำ ดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร


3. ใช้รักษาแผลสด แผลเป็นหนอง โดยใช้กระเทียมสดปอกเปลือก นำมาทุบหรือฝานทาในบริเวณที่เป็นแผล


4. ใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า เชื้อราในช่องคลอด โดยใช้น้ำที่คั้นจากกระเทียมสดทาบริเวณที่เป็น


5. ลดอาการปวดฟันจากฟันผุ โดยใช้กระเทียมสดสับละเอียดทุกฟันที่ผุ


6. ใช้รักษาอาการปวดหู หูอื้อ หูตึง โดยใช้น้ำกระเทียมหยอดหูประมาณ 1-2 หยด วันละ 3-4 ครั้ง

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

ร้านเปิดแล้วจ้า รู้จัก Staff ร้านเรากันค่ะ

หลังจากหลายเดือนที่เตรียมพร้อม รองรับ ตอบสนองวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพของคนโคราช ร้านของเราก็ได้ฤกษ์เปิดทำการแล้วค่ะ

พบกับคุณป้าพุทธชาด คนนี้ไม่เคยยอมใช้สินค้าแบบปานกลาง จะใช้จะทานอะไรต้องดีที่สุดเท่านั้น ดังนั้นชอบของดีที่สุดต้องถามคุณป้าพุทธชาด

พี่นัทส่วนใหญ่จะพบได้ในวันเสาร์อาทิตย์ค่ะ ผู้หญิงคนนี้ถามได้ทุกเรื่องค่ะ คลุกคลีในแวดวงสุขภาพและสังคมยั่งยืนมากว่าสิบปี อยากรู้อะไร ถามเลย พี่นัทตอบได้

เฮียชุน ถ้าเป็นเรื่องการออกกำลังกายแล้วหละก็เดินดิ่งไปเม้าท์กับเฮียชุนเจ้าของร้านได้เลยค่ะ ที่ตีแบ็ตมินตัน เตะบอล เล่นปิงปอง ว่ายน้ำ เฮียแกรอบรู้ไปหมด

เจ้ปุ้ย นอกจากจะสอบถามเรื่องสินค้าแล้วเจ้ปุ้ยรอบรู้เรื่องของอร่อยทั่วโคราช ร้านอาหาร ของหวานตามตรอกซอกซอยเจ้ตอบได้

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

7 ออได้ดี ชีวีออแกนิกส์

7 อ. เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า




คนไทยอายุเฉลี่ยยืนขึ้น ผู้หญิงอายุยืนถึง 72 ปี และผู้ชาย 68 ปี พลเมืองสูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ต้องทรมานกับการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังมากที่สุด มักป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ยังมีโรคไขมันในเลือดสูง ไตวายเรื้อรัง แผลในกระเพาะอาหาร โรคข้อและกระดูก สาเหตุที่ผู้สูงอายุเจ็บป่วยเรื้อรังเนื่องจากมีแบบแผนการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสม

• วงการแพทย์ยังไม่มียาที่ช่วยให้ภูมิต้านทานของคนแข็งแรง

• การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มลดลงหลังจากวัยแรกรุ่นไปแล้ว ดังนั้นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่มีอายุมากกว่า 12 ปี ขึ้นไป

• ความมีอายุยืนและระบบภูมิคุ้มกันมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น หากปรารถนาที่จะมีอายุยืน อย่างสุขภาพดี ไม่ใช่อายุยืนแบบกระเสาะกระแสะ จะต้องเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ

• การสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าด้วย 7 อ.

• เป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้ระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันดีขึ้น

• เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสุขภาพดีดังกล่าว เราอาจต้องเปลี่ยนทัศนคติ และความเคยชินบางอย่าง เพื่อช่วยให้สุขภาพดีขึ้น เพราะความผาสุกของชีวิตขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของตัวเราเอง





อ.1 อิทธิบาท 4

อ.2 อารมณ์

อ.3 อากาศ

อ.4 อาหาร

อ.5 ออกกำลังกาย

อ.6 เอนกายและคลายเครียด

อ.7 เอาพิษออกจากร่างกาย



อ. 1 อิทธิบาท 4



เป็นโครงสร้างใหญ่ที่คลุมไปถึงอีก 6 อ. ที่จะกล่าวในลำดับต่อไป

อิทธิบาท 4 คือ

: ฉันทะ

: วิริยะ

: จิตตะ

: วิมังสา

ฉันทะ ยินดี พอใจ สมใจเห็นความสำคัญ หมายมุ่ง ปรารถนาต้องการ แต่เป็นความต้องการที่ต่างจากตัณหา ตัณหานั้นเป็นความต้องการที่มีกิเลสผสม เป็นตัวทำลายแต่ฉันทะเป็นความต้องการที่มีคุณค่าเป็นกุศล ถ้าไม่มีฉันทะความยินดีตั้งแต่ต้นแล้ว จะทำสิ่งใดก็มีแต่ความฝืดฝืน เป็นแรงต้านแรงเสียดทานของตนเองที่เกิดจากความไม่ยินดีนั้น ทุกอย่างจะหนัก เหนื่อยเพิ่มเป็น 2 เท่าทันที ถ้าไม่ยินดี ไม่มีอะไรสำเร็จเพราะจิตใจถูกบีบคั้น กดดัน



วิริยะ เป็นความเพียร ความกล้า สามารถเข็นตัวเองได้



จิตตะ เอาใจใส่ ไม่ใช่ทำอะไรแบบเสียไม่ได้ จับๆ จดๆ แต่อุตสาหะมีจิตโถมไปในเป้าหมาย



วิมังสา ตรวจสอบ วินิจฉัยใคร่ครวญความถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ความมีผลหรือไม่มีผล ประเมินผล ไม่ใช่ทำทิ้งๆ ขว้างๆ มีความฉลาดเฉลียวในการวิเคราะห์วิจัยตรวจตรา เลือกเฟ้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ตน สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ตัดออกไป

อิทธิบาท 4 เป็นฤทธิ์ของศาสนาพุทธที่พาสู่ความสำเร็จในทุกเรื่อง ถ้าต้องการสุขภาพดี อายุยืนยาวแต่ไม่มีอิทธิบาท4 ที่จะศึกษาเรียนรู้ แก้ไขปรับปรุงนิสัยความเคยชินของตน ทุกอย่างก็ล้มเหลวแม้จะซื้อหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพมาอ่านเป็นสิบเล่ม แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ก็เพียงแต่ซื้อหนังสือมาไว้ให้ฝุ่นจับเท่านั้น



อ. 2 อารมณ์



อารมณ์เสีย หงุดหงิด รำคาญ วิตก กังวล ห่อเหี่ยว หดหู่ น้อยใจ เสียใจ แค้นใจ ขัดเคืองใจ โกรธ ผูกใจเจ็บ พยาบาท ฯลฯ ล้วนเป็นอารมณ์ด้านลบที่ทำให้สุขภาพทรุดโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย ทำให้เกิดโรคแห่งความเสื่อมทั้งหลาย โรคเราที่เป็นกันทุกวันนี้มีโรคที่เกิดจากเชื้อโรคห้าประเภทคือ ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว พาราไซต์ และเชื้อรา แต่ยังมีโรคอีกพวกหนึ่งไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เรียกว่า โรคแห่งความเสื่อม (Degenerative diseases) เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน หัวใจ เกาต์ รูมาติซั่ม ฯลฯ ได้มีงานว่าวิจัยตรวจวัดค่าโปรตีน IgA ในน้ำลาย ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน พบว่าเมื่อผู้เข้าร่วมทำการวิจัย โกรธหนึ่งครั้ง จะทำให้ IgA มีค่าลดลง อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง (นั่นหมายถึงภูมิต้านทานของร่างกายลดลง) และเมื่อเวลาผ่านไป 6 ชั่วโมงค่า IgA นี้ก็ยังไม่กลับคืนมาสู่ค่าปกติ นี่คือคำตอบว่า... “ทำไมคนในยุคนี้จึงเจ็บไข้ได้ป่วย และร่างกายเสื่อมทรุดเร็วนัก” ถ้าท่านเครียด ต่อมหมวกไต (Adrenal gland) จะขับฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา เป็นฮอร์โมนตัวร้ายมาก ยิ่งออกมากเท่าไหร่จะยิ่งเจ็บปวด สังเกตเวลาโมโห ผิดหวัง หรือโกรธเกลียดใครมากๆ หัวใจจะเต้นตึ้บๆ บางที่หายใจไม่ออก หน้ามืด ยิ่งคนที่เส้นเลือดตีบตันหรือเป็นโรคหัวใจ ถ้าเกิดอารมณ์รุนแรง ฮอร์โมนตัวนี้ออกมา ท่านจะตายเร็วมากหรืออาจเสียชีวิตทันที ถ้าเครียดบ่อยๆ ทำให้อะดรีนาลีนหลั่งบ่อย ๆ ต่อมต่างๆ ที่สร้างเม็ดเลือดขาว เช่น ต่อมทอนซิล ต่อมไทมัส ฯลฯ จะฝ่อ ภูมิต้านทานจะลดลง บางทีมันจะหยุดสร้างเม็ดเลือดขาวไปเลย หรือสร้างได้ก็เป็นภูมิต้านทานที่ไม่แข็งแกร่ง แต่ถ้าเรามองโลกในแง่บวก คิดดี ทำดี หรือว่าทำสมาธิได้ จิตจะสั่งสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ให้หลั่ง GHRF (Growth hormone release factor) ออกมา ฮอร์โมนตัวนี้จะไปกระตุ้นต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) ให้ขับฮอร์โมนโกรต (Growth hormone) ออกมากระตุ้นต่อมที่สร้างเม็ดเลือดขาวให้ทำงานเต็มที่เพื่อสร้างทหารในร่างกายเราขึ้นมา

อย่าเสียเวลาฝังใจ หมกมุ่นกับอารมณ์โกรธ ต้องดึงตัวเราออกมาให้พ้นจากอารมณ์นั้นให้เร็วที่สุดไม่ควรโกรธนานเกิน 1 นาที เพราะอารมณ์โกรธบั่นทอนสุขภาพอย่างยิ่ง ถ้าท่านมีความสุข เกิดปิติ

ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ในสมองก็จะขับฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมา ฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน เป็นยาระงับปวดที่ดีที่สุดในโลก เพราะแรงกว่ามอร์ฟีนถึง 250 เท่า สังเกตเวลาเราหัวเราะหรือมีความสุขจะหายเจ็บปวด ก็เพราะฮอร์โมนตัวนี้ “เพราะฉะนั้นใครอารมณ์ร้าย อารมณ์เสีย ยิ้มไม่เป็น เครียด โกรธเกลียด บ่อย ๆ

อะดรีนาลีนหลั่ง ภูมิต้านทานลด อายุสั้น”

“ส่วนใครอารมณ์ดี แจ่มใส ทำสมาธิได้ มีความสุข ฮอร์โมนโกรตหลั่ง เอนดอร์ฟินหลั่ง หลั่งเรื่อย ๆ

ภูมิต้านทานดี อายุก็จะยืน”

ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนโกรต หลั่ง

1. นอนหลับลึก ไม่ฝัน (ต้องไม่กินอาหารหนักหรือของหวานก่อนนอน เพราะถ้าเลือดมีกลูโคสสูง

ฮอร์โมนโกรตจะไม่หลั่ง

2. การมองโลกในแง่บวก (positive thinking)

3. การทำสมาธิ (meditation)

4. การออกกำลังกายให้ถึงจุด peak

5. กินอาหารที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนโกรต



อาหารที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนโกรต

• กรดอะมิโนห้าชนิด ได้แก่ ornithine, arginine, thryptophan, glycine และ tyrosine

• เกลือแร่สามชนิด ได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม

• วิตามินห้าชนิด ได้แก่ บี 3 (niacin) บี 5 (pantothenic acid) บี 6 (pyridoxine) วิตามินซี และอี



ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเอนดอร์ฟินหลั่ง

1. ถูกแสงแดด

2. การมองโลกในแง่บวก (positive thinking)

3. การทำสมาธิ (meditation)

4. ดูตลก ขำขัน

“สาเหตุอันเลวแท้ ที่ทำให้คนยังโกรธอยู่ คือ การเอาแต่ใจตัวเอง”

ถ้าหวังไว้ว่า เขาต้องคิดอย่างเราคิด ต้องรู้อย่างเรารู้ ต้องทำอย่างเรา ต้องการ ต้องเป็นอย่างเรามุ่งหมาย ต้องเข้าใจเรา ต้องดีอย่างนี้ ต้องเก่งอย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็ว ความหวังของเราจะพังสลายเพราะ “ใจเรา” ถูกพิมพ์หล่อหลอมมาจากการอบรม สภาพแวดล้อม พื้นฐานครอบครัว ทัศนคติ แบบหนึ่ง อีกทั้งวิบากกรรมของเราเองชุดหนึ่งในขณะที่ “ใจเขา” ก็ได้รับการปลูกฝังมาอีกแบบหนึ่งรวมทั้งวิบากกรรมของเขาอันเป็นชุดที่แตกต่างจากเรา

• ถ้าใครยอมให้ความโกรธย่างเข้ามา สติปัญญาก็จะบินออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคนรอบข้างที่เบือนหน้าหน่ายหนี

• ยิ่งไปกว่านั้น โรคภัยไข้เจ็บสารพัด จะได้โอกาสกระหน่ำเราซ้ำอีก

• ไม่ต้องคิดเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เพื่อความสบายของเราเอง แต่จงเปลี่ยนแปลงตัวเราให้ สบายใจให้ได้ก่อน ไม่มีเหตุผลวิเศษใดๆเลยที่จะมาสนับสนุนว่าเราควรโกรธ

เพียงแต่คิดจะทำร้ายบุคคลอื่น ความโกรธก็ชิงลงมือทำร้ายเราเสียก่อนแล้ว ผู้ที่ผูกโกรธแค้นอาฆาต ไม่มีสักรายเดียวที่จะนอนหลับเป็นสุข ฉะนั้น “บุญต้องทดแทน แค้นต้องอภัย” ถ้าเจาะเลือดตรวจเม็ดเลือดขาวขณะที่บุคคลนั้นอยู่ในอารมณ์โกรธจะพบว่า เม็ดเลือดขาวลดจำนวนลง หมายความว่า จะป่วยง่ายขึ้น ไม่มีเรื่องอันใดที่ยอมรับไม่ได้ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า “ทำใจให้ดี ทำดีให้ใจ” ทุกอย่างเกิดแก่เราย่อมมีที่ไปไม่มีอะไรเกิดโดยบังเอิญ ไม่จากสาเหตุชาตินี้ ก็ชาติที่แล้ว ดังนั้น การรู้เท่าทัน เข้าใจ วางใจ อภัยเป็น ทำให้เราเริ่มต้นระบบสุขภาพที่ดีได้





อ.3 อากาศ



อากาศ หรือลมหายใจเป็นตัวเชื่อมจิตเข้ากับกาย ในอากาศมีออกซิเจนประมาณ 20 % ไนโตรเจน 80% ความจริงมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่อีกชนิดหนึ่ง แต่ออกซิเจนสำคัญที่สุด ถ้าร่างกายได้รับออกซิเจนมากเพียงพอเลือดจะมีสภาพเป็นด่างเล็กน้อย มีค่า pH ประมาณ 7.35 - 7.45 แต่ถ้าร่างกายขาดออกซิเจนมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก เลือดมีสภาพเป็นกรด เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดเมื่อยร่างกาย ภูมิต้านทานลดลง โรคต่างๆ จะคุกคามได้ง่าย

• ปกติเราหายใจเอาอากาศเข้าไปเพียงครึ่งลิตรเท่านั้น แต่ความจุของปอด 2 ลิตรครึ่ง ถึง 4 ลิตร

• คนส่วนใหญ่ไม่เคยทำความสะอาดปอด ปอดเปรียบเสมือนหม้อกรองอากาศของรถยนต์ เอาของดี คือออกซิเจนเข้ามา แล้วเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป

• เวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหม้อกรองรถ เป่าทุกครั้ง แต่หม้อกรองของคนคือปอดไม่เคยเป่าเลย แต่ปอดก็ช่างทนทาน ยังทำงานให้เรามีชีวิตอยู่ได้ แต่อยู่ได้แบบไม่แข็งแรงนัก

• การหายใจคือการสูดเอาออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย และดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียออกจากร่างกาย

• คาร์บอนไดออกไซด์เป็นผลเสียที่ได้จากปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการสร้างพลังงานในเซลล์ ถ้าคาร์บอนไดออกไซด์คั่งอยู่ในเซลล์ เซลล์ร่างกายก็จะตายได้ ดังนั้นเราจึงมีเส้นเลือดเล็กๆ เอาไว้ขนคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปยังศรีษะและปอด และขับออกจากร่างกายขณะที่หายใจออก และเปลี่ยนเอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเซลล์แทนเวลาหายใจเข้าอีกครั้ง



คนส่วนใหญ่มักจะหายใจไม่ถูกต้องทำให้ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพออีกทั้งหายใจออกไม่สุดเต็มที่ทำให้อากาศดีเฮือกใหม่ที่หายใจเข้าไป ไปปะปนกับอากาศเก่าที่ยังค้างอยู่ในถูกลมปอดและออกซิเจนที่ปอดจะส่งไปเลี้ยงทั่วร่างกายนั้นมีน้อยกว่าข้างนอกเป็นสาเหตุให้ปริมาณออกซิเจนในเลือด ในสมอง ระบบประสาท ผิวหนัง และทั้งร่างกายน้อยกว่าปกติ



การหายใจที่ถูกต้องช่วยให้...

• สมาธิความสงบแห่งจิตใจเกิดขึ้น

• เอาพิษออกจากร่างกาย

• คลายเครียด

• กระตุ้นระบบประสาท

วิธีการบริหารปอดที่ดีที่สุด

คือหายใจเอาอากาศเข้าปอด โดยให้ปอดขยายมากที่สุด



วิธีการปฏิบัติ

ให้ท่านสูดหายใจเข้าสามครั้งติดกัน (ไม่หายใจออก)

หายใจเข้าครั้งที่ 1 กลั้นไว้

หายใจเข้าครั้งที่ 2 กลั้นไว้

หายใจเข้าครั้งที่ 3 กลั้นไว้

กลั้นไว้ให้นานจนถึงที่สุดเหมือนใจจะขาด แล้วจึงค่อยหายใจเอาอากาศออกจากปอด โดยหายใจออกยาวๆ ทั้งทางปากและจมูก หายใจออกสามครั้งเหมือนกัน จนหมดจริง ๆ เวลาหายใจเข้าให้ปิดปาก เพราะเราต้องการให้อากาศเข้าทางจมูกทางเดียวเท่านั้น ขนจมูกและเยื่อเมือกในจมูกจะได้ช่วยกรองฝุ่นละอองสิ่งสกปรกได้



วิธีหายใจเข้าออกที่ถูกต้อง

“เวลาหายใจเข้า สังเกตว่าท้องต้องป่อง เวลาหายใจออกท้องต้องแฟบ”

เพราะระหว่างปอดกับท้องคือกะบังลม เวลาหายใจเข้ากะบังลมจะเคลื่อนลง (ท้องจึงป่องออก) ปอดจะพองเต็มที่

อากาศจึงเข้าไปในปอด ส่วนเวลาหายใจออก กะบังลมจะดันขึ้น(ท้องจึงแฟบ) ให้ปอดเอาอากาศออก วันหนึ่งให้ท่านฝึกหายใจเข้าสามครั้งติดกันเช่นนี้ สัก 3-4 ครั้ง หาที่อากาศดี ๆ อากาศบริสุทธิ์ “ปอดจะมีพลังมาก” การทำเพียงเท่านี้

โรคที่เป็น เช่น หอบหืด ไอ จาม จะดีขึ้น เป็นการเอาพิษออกจากร่างกาย ทำไม่กี่วัน จะมีความรู้สึกว่า หายใจคล่องขึ้น

เพราะออกซิเจนที่เข้าไปจะไปเพิ่มให้เลือดเป็นด่าง



มาตรฐานความเป็นกรดเป็นด่างในเลือด

มาตรฐานฮาร์วาร์ดกำหนดไว้ว่า ปกติร่างกายจะสมบูรณ์ที่สุดเลือดต้องเป็นด่างนิดหน่อย การหายใจเข้าไปแบบนี้ จะทำให้เลือดเป็นด่าง เวลาง่วงเหงาหาวนอน การทำแบบนี้ เลือดจะเป็นด่าง พอเป็นด่าง หน้าตาจะสดใสฟื้นขึ้นมาทันที

เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า เราควรฝึกหายใจให้ลึกและยาวอยู่เนืองนิตย์ ชีวิตจะสดชื่นและยืนยาว... การหายใจตื้นๆ ไม่สามารถระบายอารมณ์ เมื่อเราเกิดความกังวลซึมเศร้าและหดหู่ได้ “เปลี่ยนวิธีหายใจให้ถูกต้องเสียแต่วันนี้ ร่างกายจะกำจัดของเสียได้ดีขึ้น จิตใจสงบลง ควบคุมอารมณ์และจิตใจได้ดีเมื่อเผชิญปัญหายุ่งยากทั้งร่างกายก็กระปรี้กระเปร่า

หน้าตาสดชื่น และแก่ช้า”



อ.4 อาหาร



ผู้ป่วยส่วนใหญ่ชอบถามคำถามแรกว่า “ต้องกินอะไรบ้างจะได้แข็งแรง” คำถามที่ถูกต้องที่ควรจะเป็นคือ

“ต้องเลิกกินอะไรบ้างจึงจะแข็งแรงกว่าเดิม” แนวทางที่ใช้ในการแนะนำเรื่องสุขภาพก็คือ “ต้องเลิกกินหรือเลิกการกระทำที่ทำลายสุขภาพเสียก่อนแล้วจึงค่อยๆ คิดว่าจะกินหรือทำอะไรเพิ่มเพื่อซ่อมแซมสุขภาพที่ชำรุดอยู่”

“ต้องเลิกกินหรือและต้องเลิกทำอะไรบ้าง จึงจะแข็งแรงกว่าเดิม”

• หยุดหวาน

• หยุดนมสัตว์

• หยุดเนยเทียม

• หยุดอาหารมันๆทั้งหลายทั้งจากพืชและจากสัตว์

• หยุดใช้เตาอบไมโครเวฟ

• หยุดผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

อาหารหวาน คำจำกัดความของคำว่า “หวาน” คือ ทุกอย่างที่หวาน ตั้งแต่ ขนม ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม

มีโรคและอาการผิดปกติที่เกิดจากการกินหวานอยู่ถึง 110 ชนิด (จากหนังสือทำไมคุณถึงป่วย) ความหวานทำให้เกิดอะไรต่อร่างกายของเรา

• กดการทำงานของภูมิต้านทาน

• นำไปสู่การเป็นมะเร็งเต้านม รังไข่ ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย

• ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและ ลำไส้เล็กส่วนต้น

ความหวานทำให้เกิดอะไรต่อร่างกายของเรา

• ทำให้เกิดโรคติดเชื้อราได้ง่าย

• ทำให้กระดูกผุ

• ทำให้เกิดปวดศีรษะไมเกรน

• ทำให้เกิดภูมิแพ้

นมวัว นมเป็นสาเหตุของโรคร้ายมากกว่า 50 ชนิด เช่น

• ภูมิแพ้ เบาหวาน กระดูกผุ ฯลฯ

• เด็กเล็กๆปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ (ปวดท้อง colic )

• หูน้ำหนวก ( ทั้งแบบแก้วหูทะลุและแก้วหูไม่ทะลุ )

• หอบหืด

• ไซนัสอักเสบ

• เลือดกำเดา

• ปวดหัว

• ท้องผูก ถ่ายอุจจาระเป็นเม็ด ๆ

• ฉี่รดที่นอน

• ออทิสติก สมาธิสั้น

• ลมพิษ ผื่นคันผิวหนัง ( eczema )

• ข้ออักเสบรูมาตอยด์

• ภูมิแพ้ และระบบทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง

• นมทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง

• มะเร็งเต้านม

ถ้าไม่ให้เด็กกินนม แล้วจะให้เด็กกินอะไร ในช่วง 3-4 ขวบแรกของอายุเด็ก ถ้าจำเป็นที่จะต้องให้เด็กกินนม ก็ให้กินได้ โดยมี 2 แนวทาง คือ

1) จะให้เด็กกินนมวัวก็ได้ แต่ถ้าเด็กเกิดมีอาการแทรกซ้อนอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เราได้เล่าสู่กันฟังมาแล้ว ก็ควรเลิกหรือลดนมวัวลง

2) เหมือนข้อ 1 แต่ พยายามให้เด็กกินอาหารอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น โจ๊ก ฯลฯ และถ้าฟันงอกดีแล้วก็ควรให้เด็กกินอาหารที่หลากหลายขึ้นเหมือนผู้ใหญ่ แทนกินนมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะสามารถเลิกนมได้ 100% เมื่ออายุ 3-4 ขวบ แต่ก็หลักการเดียวกันคือ ถ้าเด็กเกิดมีอาการแทรกซ้อนอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เราได้เล่าสู่กันฟังมาแล้ว ก็ควรเลิกหรือลดนมวัวลง



เนยเทียม เป็นไขมันที่ถูกสร้างขึ้นมาประมาณ 100 ปี แต่เพิ่งมาแพร่หลายจริงๆ 30 ปี ที่ผ่านมานี้เอง โดยสร้างจากน้ำมันพืช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำมันถั่วเหลือง ด้วยกระบวนการ hydrogenation การกินไขมันชนิดนี้มีผลโดยตรงกับระดับไขมันในเลือด และการทำงานของผนังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายโดยตรง “เนยเทียมเป็นไขมันที่อันตรายต่อชีวิตที่สุด และมันผสมอยู่ในอาหารของอเมริกันทั่วไป พบว่ามันน่าจะสัมพันธ์กับโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง คุณอาจรู้แล้วว่าเฟรนซ์ ฟราย และชิคเกน นักเกท มีเนยเทียมผสมอยู่ แต่คุณอาจจะแปลกใจเมื่อรู้ว่ามากกว่า 40% ของอาหารที่วางขายอยู่ในร้านขายของชำทั่วไป เช่น ซีเรียล ข้าวโพดคั่ว สำหรับไมโครเวฟ เนยถั่ว ไอศกรีม ขนมปังกรอบ คุกกี้ มีเนยเทียมผสมอยู่ ผู้ผลิตอาหารเหล่านี้ ชอบเนยเทียมมาก เพราะมันทำให้อาหารเหล่านี้กรอบนานและเก็บได้นาน แต่บริโภค???????”



รายงานการวิจัยโดยสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ในปี 2002 มีใจความว่า “เนยเทียมทำให้หลอดเลือดอุดตันได้เร็วกว่าไขมันสัตว์ เนยเทียมเพิ่มระดับ LDL และลดระดับ HDL” เนยเทียมอันตรายมากกว่าที่เรารู้เพราะ โครงสร้างโมเลกุลของเนยเทียมเป็นโครงสร้างที่ธรรมชาติไม่เคยมีมาก่อน มันถูกมนุษย์สร้างขึ้นมา มันแตกต่างจากโมเลกุลของไขมันธรรมชาติอื่นๆ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำไขมันเนยเทียมไปใช้งาน

ได้อย่างถูกต้อง และทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น จากรายงานของ นายแพทย์วอลเตอร์ วิลเลทท์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด พบว่า คนที่กินเนยเทียมเป็นประจำมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนที่กินเนยเทียมน้อยๆ ถึง 50% และเนยเทียมยังสัมพันธ์กับการเกิดเนื้องอกในอวัยวะต่างๆ เป็นอย่างมาก



เตาอบไมโครเวฟ

เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วนั้นร่างกายของคนเราคือสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้า ดังนั้นปรากฏการณ์ที่เป็นการรบกวนหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายในร่างกายมนุษย์จะทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายในด้านสรีรวิทยา จากการใช้เตาอบไมโครเวฟในการปรุงอาหารก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่รับประทานอาหารแล้ว ผู้ใช้ยังได้รับรังสีไมโครเวฟและคลื่นแม่เหล็กที่มีความถี่สูงมากซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายต่อการเปลี่ยนแปลงทางเคมีต่างๆ ภายในร่างกาย (รวมไปถึงการใช้ไฟฟ้าที่มีการแผ่คลื่นความถี่สูงทุกชนิด) เตาอบไมโครเวฟสามารถแผ่คลื่นรังสีออกมา 2 ชนิด ได้แก่

1. รังสีไมโครเวฟ หรือคลื่นวิทยุความถี่สูง

2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความถี่ 60 Hz

โดยมีการแผ่คลื่นรังสีเหล่านี้มาจากตัว transformer ทางด้านหลังของเตาอบ โดยจุดที่อันตรายที่สุดคือ บริเวณฝาที่ใช้เปิดปิด เนื่องจากเป็นจุดที่จะมีการรั่วไหลของรังสีไมโครเวฟได้มากที่สุด ส่วนคลื่นแม่เหล็กจะเกิดขึ้นบริเวณรอบเตาอบไมโครเวฟตลอดเวลาที่มีการใช้งานซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องควรระวังสำหรับเด็กๆ ที่มักจะมองอาหารที่หมุนอยู่ภายในตู้

ระหว่างที่เตาอบทำงาน ผลกระทบอีกด้านหนึ่งของอาหารที่ปรุงให้สุกโดยใช้เตาอบไมโครเวฟคือ

1. อาหารบางส่วนจะถูกแปรสภาพให้เป็นสารก่อมะเร็ง

2. คุณค่าของสารอาหารที่ลดลงในปริมาณมาก



สารก่อมะเร็งในอาหาร เกิดจาก

- การรั่วไหลของสารพิษจากบรรจุภัณฑ์

- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของสารอาหาร ให้กลายเป็นสารก่อมะเร็งโดยตรง

การรั่วไหลของสารพิษจากบรรจุภัณฑ์ อาหารที่นิยมปรุงโดยเตาอบไมโครเวฟ เช่น พิซซ่า เฟรนซ์ฟราย ป๊อปคอร์น

และอาหารอีกหลายชนิดที่ต้องการความร้อนทำให้กรอบ อาหารพวกนี้ไม่สามารถสุกและกรอบ ได้โดยตู้อบ แต่สิ่งที่ช่วยทำอาหารให้สุกได้คือบรรจุภัณฑ์ ที่ใช้วัสดุที่ไวต่อความร้อน ซึ่งประกอบไปด้วยวัสดุที่มีลักษณะบาง และมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า การรั่วไหลของสารพิษจากบรรจุภัณฑ์ นั้นคือแผ่นบางกลมสีเทาของพลาสติกที่ผสมโลหะที่จะช่วย

พลังงานความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟ ได้ดีมากขึ้น และเปลี่ยนผิวหน้าของบรรจุภัณฑ์ให้เป็นเหมือนกระทะที่มีขนาดเล็กมากและร้อนจัด ทุกๆ บรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุรับความร้อนจะปล่อยสารเคมีสู่อาหารในขณะที่กำลังได้รับความร้อนสูง

สารเคมีดังกล่าวได้แก่ สารก่อมะเร็งต่างๆ ที่รู้จักกันดี ชื่อ polyethylene terpthalate benzene toluene xylene



สารก่อมะเร็งในอาหารที่เกิดจากการใช้เตาอบไมโครเวฟ

• เนื้อสัตว์ที่ถูกปรุงให้สุกเพื่อการรับประทานจะเกิดการก่อตัวของสารที่เรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า

d- Nitrosodiethanolamines หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็น สารก่อมะเร็ง

• กรดอะมิโนในนมและธัญพืชที่ถูกอุ่นให้ร้อนโดย เตาอบไมโครเวฟจะถูกแปลงไปเป็นสารก่อมะเร็ง

• การให้ความร้อนกับผลไม้แช่แข็งจะทำให้สารประกอบภายในที่เป็นน้ำตาลและแป้งที่เรียกว่า Glucoside และ Galactyoside เมื่อถูกกระบวนการ Hydrolysis จะถูกแปลงไปเป็นสารก่อมะเร็ง

• การให้ความร้อนที่สูงมากและเป็นเวลาสั้นต่อผักสด หรือสุกแล้ว หรือแช่แข็ง จะทำให้อินทรีย์สารของพืช

(ที่ประกอบด้วยไนโตรเจน) ถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็นสารก่อมะเร็ง

• การใช้ความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟในการชงนมให้แก่เด็กทารกนั้น จะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของกรดอะมิโน trans ให้อยู่ในรูปแบบของกรดอะมิโน (cis-isomer) ผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านเคมีชีววิทยา แต่ที่ค้นพบมากกว่านั้นคือ กรดอะมิโนชนิดหนึ่งชื่อ L-proline จะถูกเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีไปเป็นแบบ D-isomer ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าโครงสร้างชนิดนี้เป็นอันตรายต่อระบบสมองและไต

• ลดคุณค่าของสารอาหารตามธรรมชาติของ วิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินอี แร่ธาตุที่สำคัญ และประสิทธิภาพการป้องกันการสะสมไขมันในตับ ในอาหารทุกประเภท

• ทำลายสารประกอบที่สำคัญหลายชนิดที่อยู่ในผัก เช่น Alkaloids , Glucosides , Galactosides , Nitrilosides

• ทำลายสารประกอบโปรตีน (โดยเฉพาะ DNA) ในเนื้อสัตว์



ถั่วเหลือง

• เกิดเป็นภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism)

• ปลายนิ้วมือมีอาการชา หรือเวลาตื่นนอนตอนเช้ากำมือไม่ค่อยได้ ซึ่งอาการแบบนี้ ตามโรงพยาบาลทั่วๆไปเรียกว่า “พังพืดรัดข้อมือ (carpal tunnel syndrome)”

• เจ็บส้นเท้า (calcaneal spur) ที่เรียกทั่วๆไปว่า “รองช้ำ”

• อ้วนง่าย กินนิดเดียวก็อ้วน



ท่านที่กินถั่วเหลืองเป็นประจำจะทำให้เกิดปัญหา ดังนี้

• อ่อนเพลียเรื้อรัง

• ทำให้มะเร็งเต้านมดื้อต่อการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด

• ทำให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย เพราะเอสโตรเจนไปกดการทำงานของฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรน แต่เอสโตรเจนจะทำให้ผู้ชายเหล่านี้ผิวพรรณเนียน สวย ดูดี แต่ขอโทษเรื่องผู้ของผู้ชาย “จอดสนิท” ไม่ว่าคุณจะป่วยมาด้วยโรคอะไรก็ตาม คุณต้องกินเพียงเท่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญ



ข้าวกล้อง

- ผัก

- ถั่ว (ยกเว้นถั่วเหลือง)

- ไม่หวาน

- ไม่มัน

เพื่อให้ร่างกายของคุณได้ใช้พลังงานอย่างถูกต้องจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งเป็นพลังงานที่สม่ำเสมอ นอกจากนี้

ข้าวกล้องยังมีวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอาหารมากกว่าข้าวขาวอีกด้วย



ผัก

เป็นแหล่งสำคัญของไวตามิน เกลือแร่ เอนไซม์ และที่สำคัญที่สุด เป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อเรามากในทางเดินอาหาร โครงสร้างผักส่วนใหญ่เป็นเซลลูโลส (cellulose) เอนไซม์ที่ใช้ย่อย เรียกว่า เซลลูเลส (cellulase)

ระบบทางเดินอาหารของคนสร้างเซลลูเลส ไม่ได้ ดังนั้นจึงย่อยผักไม่ได้ การย่อยผักเป็นหน้าที่ของจุลินทรีย์ (friendly micro organism) ซึ่งมีอยู่ในทางเดินอาหารประมาณ 40 สายพันธุ์ ยกตัวอย่างที่คนทั่วๆไปรู้จักกันดีก็คือ แลคโตบาซิลัส พวกแลคโตบาซิลัสจะเป็นผู้ย่อยผัก และทำให้เกิดผลพลอยได้แก่ทางเดินอาหารของเรา ดังนี้

• ช่วยทำลายเชื้อโรคแปลกปลอมที่มากับอาหารและน้ำที่เรากินเข้าไป

• ช่วยสร้างไวตามินให้เรา เช่น ไวตามินบี โฟลิคแอซิด

• ช่วยทำให้เราได้ไวตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ในผัก

• ช่วยสร้างเอนไซม์ที่ใช้ในทางเดินอาหาร

• ช่วยทำลายธาตุโลหะหนักและยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนมากับอาหาร

• ช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทานการติดเชื้อไวรัสต่างๆ ได้

• ต้านการเป็นมะเร็งได้

เพียงแค่คุณสมบัติ 7 ข้อนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า “ทำไมคนที่กินผักเป็นประจำจึงแข็งแรง” นี่เป็นเหตุผลที่ว่า “ทำไมเราต้องคอยเตือนให้เด็กๆกินผัก”



อ.5 ออกกำลังกาย



การออกกำลังกายสำคัญมาก มีคำพูดว่า “ให้ท่านกินอาหารครบหมู่ถูกต้อง ก็ยังสู้คนที่ขาดอาหารแต่ได้ออกกำลังกายไม่ได้ คนออกกำลังกายดีกว่าคนกินอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่กินแล้วนอนไม่ออกกำลังกายเลย”

การออกกำลังกายมีสองอย่าง

1. แบบแอโรบิก (Aerobic)

2. แบบแอนาโรบิก (Anaerobic)



แบบแอโรบิก

จะทำต่อเนื่องนานๆ ไม่เหนื่อย ไม่เครียด เช่น เต้นแอโรบิก เดิน หรือวิ่งช้า ๆ ไม่ต้องหักโหม ร่างกายจะเกิดด่างเพราะได้ออกซิเจน



แบบแอนาโรบิกเป็นการออกกำลังกายแบบรุนแรงเคร่งเครียด เช่น มวย ฟุตบอล แบดมินตัน ฯลฯ ที่ต้องแข่งขัน

เอาเป็นเอาตาย แบบนี้ร่างกายเกิดกรด เกิดคาร์บอนไดออกไซด์เคร่งเครียดมาก คิดแต่ว่าต้องเอาชนะกัน ทำให้อะดรีนาลีนหลั่ง ร่างกายทรุดโทรมมาก “การออกกำลังกายแบบแอนาโรบิกจึงไม่เหมือนกับแอโรบิก แบบแอโรบิก เราออกกำลังกายไปเรื่อย ๆ ไม่หักโหม จะเดินคุยกันหัวเราะกันบ้างก็ได้ หรือตื่นเช้ามาเดินดูต้นไม้ปลูกต้นไม้ อย่าให้เครียด”

• วิธีออกกำลังที่ดีที่สุด คือ การเดินเร็ว ก้าวขายาวๆ และแกว่งแขนให้สูงๆ เป็นการออกกำลังกายวิธีเดี่ยวเท่านั้นที่ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางได้สมดุลที่สุด

• การเดินต่อเนื่องประมาณ 30-45 นาที จะดีมาก และอย่าเคร่งเครียด ถ้าเดินเร็วมากไม่ได้ ให้เดินช้าๆ ถ้าเดินขึ้นเขาลงเขาจะเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว ยิ่งเดินมาก กำลังขาจะดี ซึ่งกำลังขาเป็นดัชนีบอกสุขภาพ

• การเดินแบบนี้ให้เดินถูกแสงแดดอ่อนๆ ด้วย เดินเวลาเช้าดีที่สุด รองลงไปคือตอนเย็น

• ในแสงแดดมีพลังมหาศาล เวลาเรามองไปที่ที่แสงสะท้อนมา (ไม่ใช่มองพระอาทิตย์ตรงๆ) แสงแดดจะกระตุ้นต่อมไพเนียลให้ฮอร์โมนเอนดอร์ฟินหลั่ง ร่างกายจะรู้สึกสบาย ช่วยลดความเจ็บปวดต่าง ๆ

• แสงแดดไม่เพียงทำให้เอนดอร์ฟินหลั่ง แต่ยังสามารถเปลี่ยนไขมันคอเลสเตอรอลหรือไขมันเลวๆให้เป็นวิตามินดี ซึ่งช่วยทำให้แคลเซียมเข้าไปอยู่ในกระดูกทำให้กระดูกแข็งแรง

• คนกระดูกบาง กระดูกผุ เช่น คนวัยทองที่แคลเซียมถูกดึงออกจากกระดูกมาอยู่ในเลือด วิตามินดี จะทำให้แคลเซียมกลับเข้าไปอยู่ในกระดูก

• ส่วนคนเป็นเบาหวาน ถ้าถูกแสงแดด ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้น ช่วยลดน้ำตาลในเลือด “เพราะฉะนั้นการออกกำลังกายให้ถูกแสงแดดจึงเหมาะมาก สำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง”

• ตอนเดินถ้าท่านเดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน สนามหญ้า จะยิ่งดีมาก เพราะจะได้รับพลังงานจากสนามแม่เหล็กโลกด้วย

• ทุกเซลล์ในตัวเราเปรียบเสมือนแบตเตอรี่ที่มีประจุไฟฟ้าอยู่เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายเกิดกรด ประจุไฟฟ้าบวกเพิ่มขึ้น ประจุบวกลบในร่างกายจึงไม่สมดุล ทำให้พลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่เสื่อมลง เมื่อเราเดินบนพื้นหญ้า พลังงานงานจากสนามแม่เหล็กโลกจะช่วยจัดเรียงอิเล็กตรอนกับโปรตอนในเซลล์ของเราใหม่เหมือนกับการช่วยชาร์ตไฟแบตเตอรี่

“ออกกำลังกายทุกวันให้เป็นกิจวัตร แต่อย่าเครียด ถ้าเครียดยิ่งอายุสั้น ทำอย่างไรก็ได้ให้เพลิดเพลิน”



ประโยชน์ของการออกกำลังกาย

• สร้างความสมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ

• ช่วยระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น

• ช่วยนำของเสียออกทางผิวหนัง คือเหงื่อ

• ช่วยระบบการหมุนเวียนของโลหิต

• เพิ่มสมรรถภาพของปอดให้แข็งแรงและขยายความจุ

• เพิ่มสมรรถภาพของโครงสร้างร่างกาย เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ เป็นต้น

• เพิ่มสมรรถภาพของสมอง ระบบประสาท และสติปัญญา

• ช่วยคลายเครียด ผ่อนคลาย และนอนหลับ

• ช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดน้ำหนัก

• ช่วยการหมุนเวียนของระบบน้ำเหลืองให้ดีขึ้น

• ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับและไต

• ช่วยให้ต่อมต่างๆทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• เพิ่มออกซิเจนในร่างกาย ทำให้เลือดเป็นด่าง

• ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น

• ช่วยปรับความดันเลือดให้เป็นปกติ

• ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด คือ ลดไขมันตัวเลว (LDL) และเพิ่มไขมันตัวดี (HDL)



อ.6 เอนกายและคลายเครียด





เอนกาย คือการรู้จักพัก รู้จักเพียร จัดสมดุลการทำงานและพักผ่อน ถ้าพักเกินไป หย่อนเพียร ไม่ขยับแขนขาทำการงาน จะกลายเป็นง่อยในไม่ช้า และอยู่ที่ไหนใครก็เบื่อ ถ้าเพียรจัด พักไม่สมดุล ก้มหน้าหาเงินไม่สนใจสุขภาพ ไม่ช้าก็จะใช้เงินทั้งหมดที่หามานั้นเพื่อรักษาสุขภาพ ซึ่งอาจจะสายเกินไป เพราะอวัยวะบางชิ้นที่เสื่อมไปไม่สามารถหาอะไหล่มาเปลี่ยนแทนได้ “จึงต้องรู้จักพัก รู้เพียร ชีวิตจึงจะผาสุก”

การนอนหลับสนิทเป็นการพักผ่อนร่างกายที่ดีที่สุด ช่วยเรียกพลังงานกลับคืน “การนอนเป็นยาในตัวมันเอง”

แม้แต่แพทย์แผนใหม่ก็สั่งไม่ให้ปลุกคนไข้ที่หลับอยู่ให้ตื่นเพียงแค่ให้ยาตามเวลา หากพักผ่อนนอนหลับไม่เหมาะสม

ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ร่างกายก็ขาดประสิทธิภาพในการซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งจะส่งผลให้เจ็บไข้ได้ป่วยในภายหลัง ถ้าหากใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ตะวันขึ้นเป็นเวลาเริ่มทำงาน ตะวันลับฟ้าไปก็เป็นเวลาพักผ่อน

ไม่เข้านอนดึกจนเกินไป ตามศาสตร์ทางด้านโยคะ ไม่ควรนอนเกิน 4 ทุ่ม ทำได้ดังนี้สุขภาพก็จะดี แต่ชีวิตของคนยุคปัจจุบันยากจะทำเช่นนี้ได้ เพราะกิจกรรมยามคำคืนที่ดึงเวลาให้อยู่จนดึกมีมากมาย คนจำนวนหนึ่งกว่าจะได้กลับมานอนก็ต้องเป็นตอนรุ่งสางของวันใหม่ การนอนกลางวันเพื่อชดเชยการไม่ได้นอนตอนกลางคืน อาจทำได้บางครั้งบางคราวแต่ไม่ใช่เป็นประจำที่ใช้ชีวิตนอนกลางวัน ตื่นกลางคืนเพราะการใช้ชีวิตที่ผิดธรรมชาติ จะทำให้สุขภาพทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว สารบางอย่างที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลายจะผลิตในช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่ใช้ชีวิตกลางคืนเป็นกลางวัน กลางวันเป็นกลางคืน จะมีสุขภาพไม่ดี ภาษิตที่ว่า “นอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า ทำให้สุขภาพดี”

ยังคงใช้ได้ตลอดไปการนอน 1 ชั่วโมงก่อนเที่ยงคืนทำให้เราพักผ่อนมากกว่าการนอนหลับ 2 ชั่วโมง ภายหลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว นักวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก และโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดของสหรัฐฯ พบว่าการนอนของคนเรา นอกจากจะเป็นการพักผ่อนของร่างกายแล้วยังช่วยให้สมองจดจำได้ดีขึ้นอีกด้วย อย่างเช่น เรื่องที่ลืมไปแล้ว ตื่นนอนวันรุ่งขึ้นกลับนึกขึ้นได้ “การนอนเป็นคุณกับการศึกษาเล่าเรียนทำให้สมองมีความแหลมคมยิ่งขึ้น ในวันรุ่งขึ้นมันช่วยเสริมและเก็บรักษาความจำเอาไว้ไม่ให้เสื่อมลง ทั้งยังช่วยกู้ความจำให้กลับคืนมาด้วย” ถ้าเราไม่หัดตัดใจ ฝืนใจจากบางสิ่งที่เราติดใจ ชอบใจ เราอาจจะต้องนอนดึกติดต่อกันเป็นเดือนเป็นปี จนการนอนดึกกลายเป็นชีวิตปกติของเราไปเสียแล้ว เช่น ดูละครโทรทัศน์ การถ่ายทอดกีฬา ที่ทำให้ต้องอดหลับอดนอน เพื่อความสุขเพลิดเพลินชั่วครู่ชั่วยาม

แต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพไปอีกนาน อาจจะถึงตลอดชีวิตของเราก็ได้



ทำไมเป็นมนุษย์ค้างคาวแล้วสุขภาพเสีย

• เพราะฮอร์โมนเมลาโทนิน (melatonin) จะหลั่งจากต่อมไพเนียลเฉพาะกลางคืนเท่านั้น ไม่หลั่งเวลากลางวัน

• ฮอร์โมนตัวนี้นอกจากช่วยให้นอนหลับแล้ว ยังช่วยสร้างภูมิต้านทานด้วย

• ส่วนฮอร์โมนโกรตจะหลั่งในช่วงสองถึงสามทุ่ม ดึกๆ ไม่หลั่งเช่นกัน

• ถ้าฮอร์โมนโกรตหลั่งแล้วจะช่วยซ่อมสร้างร่างกายตั้งแต่เวลาห้าทุ่มไปจนถึงตีห้าจึงเป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอจากการทำงานในเวลากลางวัน

เมื่อร่างกายซ่อมแซมมาตลอดทั้งคืนแล้วจะเกิดของเสียตั้งแต่ตีห้าไปถึงสี่โมงเช้าจึงเป็นช่วงที่ร่างกายจะเอาของเสียออก

สังเกตพอตื่นนอนแล้วเราจะปวดปัสสาวะและอุจจาระ ช่วงนี้จึงห้ามกินอาหารหนัก ให้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเปล่า เพื่อช่วยเร่งเอาสารพิษออกจากร่างกาย จะช่วยทั้งไตและตับ หรือดื่มน้ำมะนาวเย็นๆ ก็ได้ ตื่นขึ้นมาแล้วให้ดื่มทันที รวมทั้งตอนสาย บ่าย และก่อนนอน การดื่มน้ำมะนาวจะช่วยตับได้มาก การขับถ่ายจะดี ช่วงเช้านี้ยังเหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายให้เต็มที่เพื่อขับเหงื่อออก เป็นการเอาพิษออกจากร่างกายอีกทางหนึ่ง เวลาสี่โมงเช้าไปถึงเที่ยง เป็นเวลากินอาหารมื้อหลัก พอกินเสร็จแล้วท่านมักรู้สึกกินอิ่มปั๊บก็ง่วง เพราะช่วงเวลากลางวันจะมีฮอร์โมนตัวหนึ่งชื่อ

คอลีซิลโตไคนิน (cholecystokinin) หลั่งออกมาจากลำไส้เล็กส่วนต้น มันมีหน้าที่กระตุ้นบีบถุงน้ำดีให้ปล่อยน้ำดีเข้าลำไส้เล็กมาย่อยไขมัน และช่วยดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี เค แต่เวลาฮอร์โมนตัวนี้ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด จะทำให้เราง่วงนอน เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะฉะนั้นตอนเที่ยงพอกินอิ่มแล้วให้ท่านงีบสักประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง จะเป็นการคลายเครียดดีที่สุด พอตื่นมาจะรู้สึกเหมือนนอนอิ่มมาทั้งคืน สดชื่นมาก สมองจะปลอดโปร่งและมีพลังมาก



แต่ละคนต้องการการพักผ่อนนอนหลับไม่เท่ากัน ผู้ที่มีภาวะจิตใจดี ไม่ต้องจ่ายพลังงานไปกับเรื่องฟุ้งซ่าน เสียใจ น้อยใจ อึดอัด คับแค้นวางแผนรวย ฯลฯ จะไม่มีเรื่องกังวลใจมารบกวน ทำให้หลับสนิท ต่อให้นอนในสถานที่มี

เสียงดังขนาดไหน ก็ยังหลับได้สบาย ไม่อึดอัดกับเสียงแม้ใช้เวลานอน 5-6 ชั่วโมง ก็เพียงพอ

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนพักผ่อนเพียง 4 ชั่วโมง นอกนั้นคือการทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติ นี่คือความลงตัวของบุคคลระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



“ส่วนคนทั่วไปจะนอนพักผ่อนคืนละกี่ชั่วโมงนั้น แต่ละคนต้องดูความเหมาะสมของตนเอง”

• ความเหมาะสมนั้น ต้องไม่เข้าข้างกิเลสด้วย บางคนติดนอนอย่างมากมาย เพราะขี้เกียจจึงเอาแต่นอน

• ผู้ที่นอนชนิดกินบ้านกินเมืองนั้นไม่ใช่ว่าจะทำให้สุขภาพดี

• มีนักวิจัยชาวอเมริกัน ได้วิจัยเรื่องชั่วโมงนอน โดยเป็น

การสำรวจครั้งใหญ่ ติดตามการนอนของคนอเมริกัน 1.1 ล้านคน เป็นเวลานานถึง 6 ปี พบว่าผู้ที่นอนคืนละ

8 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น อาจจะมีชีวิตสั้นก็ได้ สู้คนที่นอนคืนละ 6-7 ชั่วโมงไม่ได้ เพราะจะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนที่นอนมากด้วยซ้ำ อาจารย์ทางด้านจิตวิทยา ชื่อดาเนียล คริปเค แห่งมหาวิทยาแคลิฟอร์เนีย ได้ทำการวิจัยว่าทำไมนอนมากจึงทำให้อายุสั้น จากผลวิจัยชี้ไปว่า การนอนมากแล้วเกิดปัญหาอาจจะเป็นเพราะ sleep apnea อันหมายถึงการหายใจไม่สะดวกระหว่างการนอน ซึ่งนำไปสู่การกดดันต่อหัวใจและสมองและการนอนอาจจะเป็นเหมือนการกินนั่นคือ ถ้าร่างกายกินน้อยกว่าที่ต้องการก็อาจจะดีกว่ากิน “เต็มคราบ” การนอนมากเกินไป ก็ทำให้อายุสั้น แต่การนอนน้อยเกินไป เช่น คืนละ 2-3 ชั่วโมง เพราะเที่ยวเตร่ดึก หรือวิตกกังวลจนไม่อาจข่มตาหลับได้ ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่นและง่วงซึมเวลากลางวัน ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นเดียวกัน จึงต้องจัดสรรการนอนให้สมดุลกับร่างกาย เพื่อจะได้ตื่นขึ้นมารับวันใหม่อย่างสดชื่น มีพลังกระฉับกระเฉง รับมือกับปัญหาต่างๆ อย่างเข้มแข็งเบิกบาน การนอนไม่หลับกระสับกระส่าย นานๆครั้ง ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่การนอนไม่หลับที่เรื้อรังอาจมีผลร้ายแรงได้ เช่น รู้สึกหมดเรี่ยวแรงขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย ความอ่อนล้าทำให้คนมีแนวโน้ม เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ได้ง่าย หรือขาดงาน มีผลกระทบต่ออารมณ์และบุคลิกภาพด้วย ทำให้สมองด้อยประสิทธิภาพในการจดจำด้วย แต่ถ้าพักผ่อนเพียงพอ นอนหลับสนิท

สมองจะเหมือนได้รับการชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ทีเดียว



การนอนไม่หลับมี 4 ประเภท

1. นอนไม่ยอมหลับ กว่าจะหลับต้องนอนพลิกไปพลิกมาหลายชั่วโมง

2. หลับๆ ตื่นๆ คือนอนหลับแต่ตื่นบ่อยในเวลากลางคืน

3. หลับไม่เต็มอิ่ม คือ หลับไม่นานเพียงพอ แต่ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนไม่ได้หลับ มีอาการไม่สดชื่น และเพลีย

4. ตื่นแล้วไม่ยอมหลับ คือ หลับดีในตอนต้น แต่ตื่นก่อนกำหนดที่ควรจะตื่น จะพยายามหลับเท่าใดก็ไม่ยอมหลับต่ออีก

สมุนไพรไทยช่วยให้นอนหลับสบาย

• พริกไทย 163 เม็ด หัวหญ้าแห้วหมู 1 กระป๋องนม ลูกมะตูมอ่อนหั่นผึ่งแดด 1 กระป๋องนม บดรวมกันให้ละเอียด ผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทรา กินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 เม็ด เช้า-เย็น หลังอาหาร กินติดต่อกันประมาณ 2 อาทิตย์

• สะเดาลวกจิ้มน้ำพริก กินติดต่อกัน 3 วัน หรือใช้ใบและก้านสะเดา 1 กำมือ ใส่น้ำพอท่วม ต้มเดือด 5-10 นาที กินวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว

• ดวกบัวที่ใกล้บาน 5 ดอกใส่น้ำให้ท่วม ต้มเดือด 5-10 นาที กินครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง

• ใบขี้เหล็ก หรือดอกขี้เหล็ก 1 กำใส่น้ำพอท่วมต้มเดือด 15 นาที ดื่มก่อนนอน หรือนำใบขี้เหล็กมาปรุงเป็นอาหาร



วิธีการอื่น ๆ ที่ช่วยให้หลับสบายขึ้น

• งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน แม้ในช่วงบ่าย เพราะ กาแฟ 3 ถ้วยในช่วงบ่าย มีผลกระตุ้นนานถึง 8 ชั่วโมง บางคนอ้างว่าหลับสบายหลังดื่มกาแฟก่อนนอน แต่ที่จริงแล้ว คนเหล่านี้หลับไม่สนิท เมื่อทดสอบบุคคลเหล่านี้ในห้องปฏิบัติการ

• อย่าดื่มเหล้าก่อนนอน (เลิกดื่มเหล้าได้ ดีที่สุด) เมื่อร่างกายเผาผลาญแอลกอฮอล์ จะปล่อยสารกระตุ้นทางธรรมชาติ ซึ่งจะขัดจังหวะการนอนหลับในช่วงหลังเที่ยงคืน ยิ่งดื่มมากเท่าใด การนอนหลับจะถูกขัดจังหวะมากขึ้นเท่านั้น



อ.7 เอาพิษออกจากร่างกาย



มนุษย์กินอาหารเข้าไปในร่างกายตลอดชีวิต เฉลี่ยประมาณ 25 ตัน ที่เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บ อ้วน รูปร่างไม่สมส่วน ปวดตรงนั้นตรงนี้ มีสิวฝ้า มีถุงน้ำหรือซีสต์ เพราะเรากินมากจนเกินความสามารถที่จะระบายของเสียออก

ของเสียพวกนี้พยายามจะหาทางออกแต่ก็ออกไม่ได้ เพราะเราไม่ช่วย ไม่ออกกำลังกาย ไม่ได้ฝึกหายใจ

1. ลำไส้ใหญ่ คืออุจจาระ ของเสียออกทางนี้มากที่สุด

2. ไต คือปัสสาวะ ถ้าดื่มน้ำเพียงพอ ของเสียก็ออกได้ง่าย

3. ผิวหนัง คือเหงื่อ ถ้าออกกำลังกายก็ช่วยขับเหงื่อ แล้วเราช่วยทำความสะอาดผิวหนังโดยการอาบน้ำ

4. ปอด คือคาร์บอนไดออกไซด์ที่หายใจออก เราทำอยู่ตลอดเวลา แต่ต้องฝึกด้วย



ลำไส้ใหญ่ เหมือนคลองที่ระบายของเสียออกมากที่สุดและสกปรกที่สุด แต่เราไม่ค่อยได้ช่วยลำไส้ใหญ่เลย ทั้งๆที่ถ้าเราช่วยกิน อาหารธรรมชาติของมนุษย์ คือพืชผักผลไม้สด ซึ่งมีเส้นใยมาก มันจะช่วยทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ เหมือนไม้กวาดที่ช่วยปัดกวาดสิ่งสกปรกออกไป ทำให้เราถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้เร็ว ทุกวันนี้เรากลับกินแต่อาหารที่แทบไม่มีเส้นใย ทั้งข้าวขาว ขนมขบเคี้ยว หรือเนื้อสัตว์ ทำให้ท้องผูก ถ่ายอุจจาระไม่หมด ยิ่งใครกินโปรตีนมากเท่าไร การขับถ่ายจะช้ามากยิ่งมีสิ่งบูดเน่าอยู่ในลำไส้ใหญ่มาก อุจจาระก็ยิ่งเหม็นมากเท่านั้น คาร์โบไฮเดรตที่เรากินเข้าไป ร่างกายเผาผลาญแล้วจะได้ของเสีย คือคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ แต่โปรตีนกับเนื้อสัตว์ เผาผลาญแล้วจะได้คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ และมีสารพิษ คือ แอมโมเนียซึ่งเป็นด่างอย่างแรง คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายทั้งสี่ทาง แต่แอมโมเนียกำจัดออกได้ยากมาก อวัยวะสำคัญในร่างกายที่เป็นโรงงานกำจัดแอมโมเนีย คือ ตับและไต เพราะฉะนั้นถ้าท่านทานโปรตีน หรือเนื้อสัตว์มาก ตับและไตก็จะต้องทำงานหนักด้วย



ในลำไส้ใหญ่มีแบคทีเรียอยู่สองพวก คือ พวกดีกับพวกเลว

- แบคทีเรียที่ดีมีอยู่ประมาณ 80-85%

- แบคทีเรียที่เลวมีอยู่ประมาณ 15-20%

• แบคทีเรียดีในลำไส้ใหญ่มีส่วนช่วยร่างกายย่อยอาหาร สังเคราะห์พวกเส้นใยต่าง ๆ ให้เป็นวิตามินบี วิตามินเค และกรดไขมันบิวไทริก (butyric acid) ซึ่งป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

• แบคทีเรียดีจะเจริญเติบโตหรือขยายพันธุ์ได้ดีที่สุดเมื่อลำไส้ใหญ่มีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย คือมีค่า pH อยู่ระหว่าง 5.4-6.4 แต่ถ้าค่า pH เป็นกรดมากหรือด่างเมื่อไหร่ แบคทีเรียดีจะหยุดการเจริญเติบโตทันที

สังเกตอุจจาระยิ่งมีกลิ่นเหม็นมากเท่าไหร่ หมายความว่าในลำไส้ใหญ่มีสภาพความเป็นด่างมากขึ้นเท่านั้น แบคทีเรียดีจะหยุดการเจริญเติบโต หรือตายเร็วมากขึ้นส่วนแบคทีเรียเลว ซึ่งชอบสภาพความเป็นด่างจะกลับมีจำนวนมากขึ้นด้วยเหตุนี้ ถ้าท่านปล่อยให้มีของบูดเน่าที่ลำไส้ใหญ่ ไม่รีบขับถ่ายภายใน 12 ชั่วโมงจะเกิดสารพิษก่อมะเร็งมากถึงเก้าตัว สารพิษเหล่านี้ยังถูกดูดซึมกลับเข้ากระแสเลือด และแพร่ไปทุกระบบ แม้แต่ระบบประสาทสารพิษทั้งเก้าตัวจะย้อนกลับมาจัดการทำลายพิษที่ตับ ซึ่งปกติทำงานหนักอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มพวกสารพิษเข้าไป ตับก็ต้องทำงานหนักขึ้นอีก

นานเข้าตับหมดสภาพ ทำงานไม่ไหว จะกลายเป็นมะเร็งไปด้วยสังเกตคนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่จะเป็นมะเร็งต่อที่ตับเร็วที่สุดไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น ในช่วงเวลา 5.00-7.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระแล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 7.00-9.00 น. ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออก จะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร ก็จะถูกดูดซึมซ้ำอีกครั้ง ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสีย แล้วเกิดจากบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายซึ่งมีความร้อน 37 องศาเซลเซียส ตลอดเวลาไม่เหมือนกับตู้เย็นที่เก็บได้นานกว่าเพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดที่ไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย

: ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอนเพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ หัวใจก็จะอ่อนล้า ไม่สดชื่น

: มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น

: ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 5.00-7.00 น. นานๆ เข้าเป็นระยะเวลาหลายๆปี เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา 7.00-9.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำจะเสื่อมเร็ว

: ปวดเข่า เมื่ออายุมากขึ้น

: เป็นริดสีดวงทวาร

สิ่งที่ควรปฏิบัติ เพื่อสุขภาพที่ดี

• พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 5.00 - 7.00น.

• ควรทานข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา 7.00 - 9.00น.

การเอาพิษออกทางน้ำเหลือง

• ในร่างกายมนุษย์มีน้ำอยู่ 50 ลิตร เป็นเลือด 5 ลิตร น้ำย่อย 5 ลิตร อีก 40 ลิตร คือน้ำเหลือง

• น้ำเหลืองจะนำสารพิษจากที่ต่าง ๆ ในตัวเรามาทิ้งที่ไต ถ้าน้ำเหลืองไม่หมุนเวียนภายใน 24 ชั่วโมง เราตาย

• วิธีทำให้น้ำเหลืองหมุนเวียน คือ

- การเคลื่อนไหวออกกำลังกาย

- การฝึกหายใจ

- การรีดผิวหนัง

การรีดผิวหนัง

หลักการรีดคือ ให้รีดเข้าหาส่วนกลางลำตัว

• แขน ให้รีดจากมือเข้ามาที่หัวไหล่ ตรงข้อพับก็ให้รีดหมุนรอบ ๆ

• ลำตัว รีดลงมาที่หน้าท้องซึ่งมีต่อมน้ำเหลืองมากอีกบริเวณหนึ่ง และรีดหมุนวนบริเวณหน้าท้อง

• ขา ให้รีดขึ้น ข้อพับให้รีดหมุนรอบ

การรีดน้ำเหลืองทั่วร่างกาย ให้ทำสักสองสามเที่ยว โดยเฉพาะตอนอาบน้ำ หรืออบไอน้ำ หมั่นทำบ่อย ๆ ให้น้ำเหลืองหมุนเวียนเพื่อพาของเสียตามจุดต่าง ๆ หมุนเวียนมาที่ไตแล้วขับออกมากับปัสสาวะ



บทสรุป

• ถ้าเราต้องการให้คนกลับมาเป็นมนุษย์ เราต้องแก้เรื่องอาหารก่อน เพราะอาหารคือตัวบ่งชี้ความเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับต้นไม้ จะเจริญงอกงามได้ อยู่ที่ปุ๋ย อาหารและน้ำ

• มนุษย์ก็เหมือนกัน ถ้าอาหารไม่ถูกต้อง กายจะดีได้อย่างไร ถ้ากายไม่ดี จิตจะดีได้อย่างไร

• โรคภัยไข้เจ็บเกิดได้หรือไม่ อยู่ที่ว่าร่างกายเราแข็งแกร่งไหม

• ร่างกายจะแข็งแกร่งก็มาจากอาหาร ถ้ากินอาหารไม่ถูกต้อง เชื้อโรคจะแข็งแกร่งกว่าเรา

• อย่าลืมว่าเชื้อโรคเกิดก่อนเรา มันวิวัฒนาการเก่งกว่าเรา นักวิทยาศาสตร์พยายามใช้สารเคมีหรือยาปฏิชีวนะฆ่ามัน แต่มันก็พยายามมีชีวิต โดยจะกลายพันธุ์ไป ไม่มีวันหมดสิ้น และแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

• ถ้าเราไม่ยุยงส่งเสริมมัน แต่สร้างภูมิต้านทานในร่างกายให้แข็งแกร่ง การปฏิบัติตามหลัก 7 อ. เชื้อโรคก็อยู่ของมันไปตามธรรมชาติ แต่ทำอะไรเราไม่ได้ เราไม่ต้องไปทำอะไรเชื้อโรค ไม่ต้องไปทำให้มันกลายพันธุ์



บทความนี้ได้นำมาจากหนังสือ

• 7 อ. เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า (สันติอโศก)

• ทำไมคุณถึงป่วย (น.พ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์)

• ยิ้มสู้มะเร็ง (อาจารย์ อารีย์ วชิรมโน)

• กินเป็น ลืมป่วย (อาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา)